บทที่ 1 โครงสร้างของโลก
โลกเกิดมาได้แล้วประมาณ 4600 ล้านปี โดยนักดาราศาสตร์สันนิษฐานว่า เกิดจาการหมุนวน
ของฝุ่นและแก๊สในอวกาศ เรียกว่า เนบิวลา จากการรวบรวทฤษฎีและหลักการต่างๆ มาได้ 300 ปี
เซอร์ ไอแซก นิวตัน ได้ค้นพบการคำนวณหาความหนาแน่นเฉลี่ยของโลกจากหินบนพื้นผิวโลกโดย
ให้คำอธิบายว่า ความหนาแน่นของโลกจะมีค่าเป็น 2 เท่าของความหนาแน่นของหินบนผิวโลก จากนั้น
อีก 100 ต่อมา ได้มีการสำรวจแบ่งชั้นของโลกด้วยการขุดเจาะ และตรวจสอบจาการระเบิดของภูเขาไป
แต่ในการศึกษาเป็นระยะเวลากว่า19ปี ก็ยังไม่สำเร็จ นักวิทยาศาสตร์จึงทำการศึกษาวิธีการอื่นๆจนกระทั่ง ได้วิธีการศึกษาโดยวิธีการใช้คลื่นไหวสะเทือน และแบ่งคลี่นนี้ได้ 2 คลื่น คือ คลื่อนปฐภูมิ Primary Waves /P waves และ คลื่นทุติยภูมิ Secondary / S waves
คลื่อนปฐภูมิ Primary Waves/P waves และ คลื่นทุติยภูมิ Secondary / S waves
ชั้นโลกแบ่งได้ดังนี้
1.ธรณีภาค ลึกประมาณ 0-100 ก.ม. มีสมบัติเป็นของแข็ง คลื่นPและคลื่นSผ่านไปด้วยกัน
2.ฐานธรณีภาค แบ่งออกได้เป็น 2 บริเวณ ในชั้นนี้คลื่นไหวสะเทือนมีความเร็วไม่สมำ่ำเสมอ
2.1 เขตคลื่นไหวสะเทือนมีความเร็วลดลง มีความลึก 100-400 ก.ม. มีสมบัติเป็นพลาสติก
2.2เขตการเปลี่ยนแปลง มีความลึกประมาณ 400-660 ก.ม.จะมีการเปลี่ยนแปลง
โครงสร้างแร่ มีสมบัติเป็นของแข็งแกร่ง
โครงสร้างแร่ มีสมบัติเป็นของแข็งแกร่ง
3.มีโซสเฟียร์ มีความลึกประมาณ 660-2900 ก.ม. ในบริเวณนี้คลื่นไหวสะเทือนมีความเร็วขึ้นสม่ำเสมอ
เนื่องจากหิน หรือ สาร บริเวณล่างมีโซสเฟียร์ มีสถานะของแข็ง
4.แก่นโลกชั้นนอก มีความหนาตั้งแต่ 2900 - 5100 กิโลเมตร เชื่อกันว่าชั้นนี้ประกอบด้วยโลหะเหล็กและนิกเกิลเป็นส่วนใหญ่ โดยมีสถานะเป็นของเหลวหนืด และมีอุณหภูมิสูงมาก มีอุญหภูมิประมาณ 4300 - 6200 องศาเซลเซียส คลื่น Pผ่านได้ แต่คลื่นSไม่สามารถผ่านได้ เพราะแก่นโลกชั้นนอกประกอบด้วยสารที่มีของเหลว
5.แก่นโลกชั้นใน ส่วนประกอบของแก่นโลกชั้นในเหมือนกับของชั้นนอกแต่อยู่ในสถานะของแข็ง เนื่องจากมีความดันและอุณหภูมิสูงมาก โดยอาจสูงถึง 6200 - 6400 องศาเซลเซียส คลื่นPและคลื่นS มีอัตราค่อนข้างคงที่ มีสถานะเป็นของแข็งที่มีเนื้อเดียวกัน
เปลือกโลก(Crust)
เป็นชั้นนอกสุดของโครงสร้างโลก มีความหนาระหว่าง 6-35 กิโลเมตร แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ 1.เปลือกโลกภาคพื้นทวีป (Continental Crust) มักมีความหนามาก มีความหนาแน่นต่ำ ประกอบด้วย โปแตสเซียม อะลูมิเนียม ซิลิเกตและซิลิกอนไดออกไซด์ เป็นส่วนใหญ่ ทำให้มีชื่อเรียกว่า ชนิดไซอัล (SIAL)
2.เปลือกโลกภาคพื้นสมุทร (Oceanic Crust) มักจะมีความหนาน้อยกว่าเปลือกโลกภาคพื้นทวีป มีความหนาแน่นมากกว่า เนื่องจากประกอบด้วย แมกนีเซียม เหล็ก แคลเซียม และซิลิเกต เป็นส่วนใหญ่ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ชั้นไซมา (SIMA)
เนื้อโลก ( mantle)
เป็นชั้นโครงสร้างของโลกที่อยู่ระหว่างเปลือกโลกกับแก่นโลก นอกจากนี้เรายังสามารถพบชั้นหินในลักษณะเดียวกับชั้นเนื้อโลกหรือแมนเทิลนี้ ได้ในดาวเคราะห์หินทั่วไป สำหรับชั้นแมนเทิลของดาวเคราะห์โลกนี้มีความหนาประมาณ 2,885 กิโลเมตร ซึ่งนับเป็นองค์ประกอบร้อยละ 84 ของปริมาตรทั้งหมดของโลก ส่วนประกอบหลักของชั้นเนื้อโลกส่วนใหญ่เป็นแมกนีเซียมและเหล็ก เกือบทั้งหมดมีสถานะเป็นของแข็ง ยกเว้นที่ความลึกประมาณ 70-260 กิโลเมตรหรือที่เรียกว่าฐานธรณีภาค (asthenosphere) ในชั้นนี้มีการหลอมละลายของหินเป็นบางส่วน
แก่นโลก (core)
เป็นชั้นในสุด ตั้งแต่ความลึกที่ 2,900 กิโลเมตร ถึงจุดศูนย์กลางโลกแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ แก่นโลกชั้นนอก (outer core) มีความหนา 2,200 กิโลเมตร เป็นของเหลวพวกโลหะหลอมละลายประเภทเหล็กและนิเกิล และแก่นโลก(inner core) เป็นของแข็งที่มีความหนาแน่นสูงเชื่อว่าประกอบด้วยเหล็กนิเกิล เป็นหลัก
มีคำถามทบทวนด้วยน๊ะจ๊ะ......
1.นักวิทยาศาสตร์ได้ในอะไรเป็นตัวตรวจสอบโครงสร้างโลกในปัจจุบัน
2.ชั้นโลกมีอะไรบ้าง
3.ชั้นโลกอะไรที่คลื่น S ไม่สามารถผ่านได้ เพราะเหตุใด
4.ฐานธรณีภาคมี กี่บริเวณ อะไรบ้าง
5.โลกเกิดมาแล้วกี่ปี เกิดจากอะไร
เฉลยยย ซื่อสัตย์ด้วยน้าา....
1.ตอบ คลื่นไหวสะเทือน แบ่งเป็น คลื่นPและคลื่นS
2.ตอบ 1.ธรณีภาค 2.ฐานธรณีภาค 3.มีโซสเฟียร์ 4. แก่นโลกชั้นใน 5.แก่นโลกชั้นนอก
3.ตอบ แก่นโลกชั้นนอก เพราะ แก่นโลกชั้นนอกประกอบด้วยสารที่มีสถานะของเหลวคลื่อนS
จึงไม่สามารถผ่านได้
4.ตอบ มี 2 บริเวณ คือ 1.เขตคลื่นไหวสะเทือนมีความเร็วลดลง
2.เขตที่มีการเปลี่ยนแปลง
5.ตอบ ประมาณ 4600 ล้านปี สันนิษฐานว่า เกิดจาการรวมตัวกันของฝุ่นและแก๊สในอวกาศ
เรียกว่า เนบิวลา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น